เรื่องของแก้ว
เมื่อวันก่อนไปร้านมะลิ พี่อ้อเอาบทความหนึ่งมาแปะไว้ พออ่านก็คิดถึงก๋งมากๆ เมื่อสมัยที่พี่อ๋ออายุได้ประมาณ 5-6 ขวบ ช่วงเวลาเด็กของพี่อ๋อทุกอาทิตย์มาม้าจะพาไปหาอาก๋งทุกวันเสาร์และอาทิตย์ราวกับบ้านก๋งอยู่ลาดพร้าว แต่พี่อ๋อไม่เคยเบื่อเลย ไปทีไรก็มีเรื่องสนุกๆทำ เพราะที่บ้านก๋งไม่เคยว่าง มีคนมาตลอด ถ้าไม่มีคนมาหา ก๋งก็จะไปนั่งทำปรอท หรือไม่ก็พานั่งสามล้อไปซื้อของซึ่งจะชอบมากๆๆๆๆๆ มีอยู่วันหนึ่งมีผู้ใหญ่นั่งกันอยู่หลายท่านเราเป็นเด็กคนเดียว ตอนนั้นจำได้ว่า ชอบความรู้สึกในตอนนั้นมาก ถึงแม้ว่าตอนนั้นอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ก๋งสอนได้เท่ากับตอนนี้ แต่สำหรับเด็กพี่อ๋อก็คิดว่า อื่อมันจริงนะ มันถูกนะ ทำไมเรื่องของแก้วจึงมีมุมมองได้มากขนาดนี้นะ แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงเข้าใจอะไรยากจังนะ
ตอนนั้นมีผู้ใหญ่นั่งอยู่กับก๋ง 3 คนได้ ก๋งเอาแก้วน้ำขึ้นมาหนึ่งแก้วแล้วพูดว่า
รู้จักไหมว่านี่คืออะไร
ผู้ใหญ่ทั้งสามตอบทีละคน เรียก ก ข ค นะ
ก/รู้จักครับ มันก็คือแก้วไงครับ
ข/รู้จักครับ แก้วทำจากการทราย
ค/รู้จักครับ แก้วทำมาจากการใช้ความร้อนสูงหลอมทรายแล้วเป่าหรือดัดให้เป็นรูปที่ต้องการฯลฯ
ก๋งบอกว่า เห็นไหมว่าคำว่ารู้จักของคนไม่เท่ากัน เมื่อความเข้าใจของคนไม่เท่ากัน ทำให้ความคิดหรือปัญญาการเข้าใจหรือเข้าถึงไม่เท่ากัน วิธีการเรียนรู้ก็จะแตกต่างกัน การเรียนบางแบบบางอย่าง อาจจะเหมาะกับบุคคลผู้หนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับบุคคลอีกผู้หนึ่งก็ได้ ก๋งว่าเวลาคนบอกเราว่า เข้าใจแล้ว ไม่ได้หมายความว่าความเข้าใจนั้นของเค้าจะเท่ากับเรา เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าความเข้าใจนั้นเท่ากัน เราก็จะพบกับปัญหาเพราะเราจะเริ่มคาดหวัง และอาจจะผิดหวังได้ จิตของคนก็เหมือนกันเวลา เราเข้าใจความหมายของจิตว่าจิตไม่มีอะไร เป็นจิตเดิมแท้ แต่ความไม่มีอะไรของคนเราก็ไม่เท่ากัน นี่คือสิ่งที่พี่อ๋อเรียนรู้เมื่อตอน 5-6 ขวบ
พอเมื่อไม่กี่วันพี่อ้อ เอามาให้อ่าน เค้าเล่าว่า มีคุณครูอยู่คนหนึ่งหยิบแก้วขึ้นมาแล้วถามว่า แก้วนี้หนักไหม คิดว่าหนักเท่าไหร่
ก/ ไม่หนัก
ข/ไ ม่หนัก คงน้อยว่า 4 กรัม
ครูตอบว่าแล้วถ้าแก้วนั้นหนักน้อยกว่า 4 กรัม แต่เราต้องถือไว้เฉยๆเป็นชั่วโมงละ มันหนักหรือยัง
มือหรือแขนเรานั้นต่อให้เราไม่ถืออะไรไว้เลย แต่ถ้ายกไว้เป็นชม. มันก็หนักเหมือนกัน ร่างกายของเราก็จะรับไว้ไม่ไหว ซึ่งแก้วนี้ก็เปรียบเสมือนภาระ หรือความกังวลที่เราแบกกันเอาไว้ ถ้าภาระนั้นมีเพียงน้อยนิด แต่ถ้าเราแบกมันเอาไว้ไม่ปล่อยวาง มันก็หนักได้ จนถึงกับทำให้ร่างกายรับไม่ไหวและทำให้ร่างกายป่วยด้วย พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า
ปัญจขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระแต่บุคคลก็ยังยืดถือภาระไว้ การปล่อยวางภาระเสียเป็นสุข เป็นผู้หมดอยาก ดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์ได้
เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่เขียนอาจจะเข้าใจไม่ยาก เราก็รู้ว่ามันจะละวางได้อย่างไร แต่เรากับไม่สามารถละความกังวลหรือความอยากทั้งหลายได้เลย เพราะเรามักจะมีกรอบต่างๆให้กับตัวเราเสมอ แม้เราจะรู้ว่าคิดไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้แต่เราก็ยังคิดและกังวล และนั้นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จริงๆตอนเราเกิดมาเรามาเสื้อผ้าก็ไม่มีด้วยซ้ำไป วันนี้อย่างน้อยเราก็มีเสื้อผ้าใส่แล้ว ทำไมเรายังกังวลละ วันใดที่เราจะไป แม้เสื้อผ้าเราก็ไม่สามารถเอาไปได้อยู่ดี แม้แต่ร่างกายของเรา เรายังเอาไปไม่ได้เลย
เป็นไงค่ะเรื่องของแก้วของพี่อ๋อ ลองมองดูแก้วแล้วลองคิดถึงแก้วในแง่มุมต่างๆเราอาจจะได้รู้จักแก้วจริงๆก็ได้
Last Edit: June 29, 2008, 11:56:29 PM by Aur
http://aurseeyou.net/forum/index.php/topic,8576.0.html